วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คำถามท้ายบทที่ 4 เรื่อง Relational Database

การบ้าน

วิชาฐานข้อมูลเบื้องต้น (4122201) ตอนเรียน A1

ประจำวันที่ 24 พฤศจิกายน 2553


1.โครงสร้างข้อมูลเชิงสัมพันธ์ประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย
   ตอบ
เอนทิตี้ (Entity) หมายถึง ชื่อของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ได้แก่ คน สถานที่ สิ่งของ การกระทำ ซึ่งต้องการจัดเก็บข้อมูลไว้ เช่น เอนทิตี้ลูกค้า เอนทิตี้พนักงาน
       - เอนทิตี้ชนิดอ่อนแอ (Weak Entity) เป็นเอนทิตี้ที่ไม่มีความหมาย หากขาดเอนทิตี้อื่นในฐานข้อมูล
    แอททริบิวต์ (Attribute) หมายถึง รายละเอียดข้อมูลที่แสดงลักษณะและคุณสมบัติของเอนทิตี้หนึ่ง ๆ เช่น  เอนทิตี้นักศึกษา ประกอบด้วย - แอทริบิวต์รหัสนักศึกษา
       - แอททริบิวต์ชื่อนักศึกษา
       - แอททริบิวต์ที่อยู่นักศึกษา

2. คุณสมบัติในการจัดเก็บข้อมูลของรีเลชั่นมีอะไรบ้าง
    ตอบ   
         1 ข้อมูลในแต่ละแถวไม่ซ้ำกัน
         2 การเรียงลำดับของข้อมูลในแต่ละแถวไม่เป็นสาระสำคัญ
         3 การเรียงลำดับของ Attribute จะเรียงลำดับก่อนหลังอย่างไรก็ได้
         4 ค่าของข้อมูลในแต่ละ Attribute ของ Tuple หนึ่งๆ จะบรรจุข้อมูลได้เพียงค่าเดียว (Single Value )
         5 ค่าของข้อมูลในแต่ละ Attribute จะบรรจุค่าของข้อมูลประเภทเดียวกัน


3.รีเลชั่นประกอบด้วยคีย์ต่างๆ อะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบประเภทคีย์ดังกล่าว
ตอบ
ประเภทของคีย์ (Relation keys)
   ในฐานข้อมูลจะมีข้อมูลอยู่เป็นจานวนมาก โดยเฉพาะฐานข้อมูลขนาดใหญ่  ก็จะมีข้อมูลจานวนมากที่มีความคล้ายคลึงกันหรือแตกต่างกันออกไป ทำให้การแยกแยะหรือจัดการข้อมูลทาได้ยาก  ดังนั้นจึงกำหนดคีย์ (keys) ขึ้นมาคีย์ คือ แอททริบิวต์หรือกลุ่มของแอททริบิวต์ ที่ใช้ในการระบุค่าต่าง ๆ ของทูเพิล เพื่อความเป็นเอกลักษณ์ (unique) หรือเป็นสิ่งที่ใช้กำหนดความเป็นเอกลักษณ์ของทูเพิล โดยคีย์มีหลายประเภท  ดังนี้
คีย์หลัก (Primary key)
            หมายถึง คีย์ที่มีคุณสมบัติในการระบุค่าต่าง ๆ ของแต่ละทูเพิลในรีเลชั่นได้ เป็นเอกลักษณ์(Unique) หรือมีค่าไม่ซ้ำกัน และมีเป็นค่าว่าง (Null) ไม่ได้  คีย์หลักจะประกอบด้วยหนึ่งแอททริบิวต์หรือหลายแอททริบิวต์ก็ได้
คีย์คู่แข่ง (Candidate key)
            หมายถึง ในรีเลชั่นหนึ่ง ๆ มีคีย์ที่สามารถเป็นคีย์หลักได้มากกว่าหนึ่ง แอททริบิวต์  แต่เมื่อแอททริบิวต์ใดที่ถูกเลือกเป็นคีย์หลักแล้ว คีย์คู่แข่งที่เหลืออยู่ก็จะมีชื่อใหม่เรียกว่า คีย์สำรอง ( secondary key หรือ Alternate key)

คีย์สำรอง (Secondary key หรือ Alternate key)
            หมายถึง คีย์คู่แข่งที่ไม่ได้ถูกเลือกเป็นคีย์หลัก โดยคีย์สำรองจะไม่มีคุณสมบัติ ความเป็นเอกลักษณ์ ถ้ามีการค้นหาข้อมูลจะได้ข้อมูลมากกว่าหนึ่งข้อมูล   เพราะคีย์สำรองมีค่าซ้ำได้
คีย์นอก(Foreign key)
            หมายถึง   แอททริบิวต์หรือกลุ่มของแอททริบิวต์ในรีเลชั่นหนึ่ง  ที่ใช้ในการอ้างอิงถึง แอททริบิวต์เดียวกันในอีกรีเลชั่นหนึ่งที่เป็นคีย์หลัก คีย์นอกเป็นคีย์ที่ใช้ในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชั่นของ ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ดังนั้นในการเปลี่ยนแปลงค่าของคีย์นอกหรือคีย์หลักที่เชื่อมความสัมพันธ์กัน อยู่จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ซึ่งในการจัดการฐานข้อมูลจะต้องมีกฏเกณฑ์และเงื่อนไข เพื่อทำให้ฐานข้อมูลถูกต้องตลอดเวลา และขึ้นอยู่กับ DBMS ที่สามารถควบคุมความถูกต้องของฐานข้อมูลนั้น ๆ ด้วย

 4.  Null หมายถึงอะไรใน Relational Database
    ตอบ
หมายถึง ไม่ทราบค่าข้อมูลที่รู้แน่ชัด เราสามารถกำหนดให้ค่าของคอลัมน์ใดๆ เป็น Null ได้ ยกเว้นคอลัมน์ที่เป็น Primary Key เพราะจะไม่สามารถนำ Primary Key มาใช้เข้าถึงข้อมูลในแต่ละแถวได้

5. เหตุใดจึงต้องมีการนำ Integrity rule  มาใช้ในฐานข้อมูล
ตอบ
โครงสร้างฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ประกอบด้วยหลายๆ รีเลชัน จำเป็นต้องมีการควบคุมข้อมูลให้มีความถูกต้อง เป็นจริง และสามารถนำมาใช้เชื่อมโยงกันได้

6.ความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชั่นมีกี่ประเภท อะไรบ้าง จงยกตัวอย่างประกอบ (ห้ามยกตัวอย่างซ้ำกับสไลด์ประกอบการเรียน)
ตอบ
1.ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One to One Relationship)
- เป็นความสัมพันธ์ที่เข้าใจง่ายที่สุด
- เป็นความสัมพันธ์ของข้อมูลใน 1 เรคอร์ดในตารางหนึ่งมีความสัมพันธ์กับข้อมูลอย่างมากหนึ่งข้อมูลกับอีก เรคอร์ดในอีกตารางหนึ่งเท่านั้นในลักษณะที่เป็นหนึ่งต่อหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น คนหนึ่งคนสามารถมีกรุ๊ปเลือดได้เพียงหนึ่งกรุ๊ปเลือดเท่านั้น
2.ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One to Many Relationship)
- เป็นความสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุดในฐานข้อมูล
- เป็นความสัมพันธ์ของข้อมูลใน 1 เรคอร์ดในตารางหนึ่งมีความสัมพันธ์กับข้อมูลมากกว่าหนึ่งข้อมูลกับอีก เรคอร์ดในอีกตารางหนึ่งเท่านั้นในลักษณะที่เป็นหนึ่งต่อหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น คนหนึ่งสามารถมีบัตร ATM ได้หลาย ๆ ธนาคาร
3.ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม (Many to Many Relationship)
- เป็นความสัมพันธ์ที่พบไม่บ่อยนัก
- เป็นความสัมพันธ์ของข้อมูลในเรคอร์ดใด ๆ ของตารางหนึ่งมีค่าตรงกับข้อมูลของหลาย ๆ เรคอร์ดในตารางอื่น ๆ
ยกตัวอย่างเช่น บาร์โคดหนึ่งอันสามารถกำหนดตัวเลขได้หลาย ๆ แบบ

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คำถามท้ายบทที่ 3 เรื่อง Database Models

การบ้าน

วิชาฐานข้อมูลเบื้องต้น (4122201) ตอนเรียน A1

ประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2553

1.การแบ่งสถาปัตยกรรมของฐานข้อมูลออกเป็น 3 ระดับ มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ใดเป็นสำคัญ
ตอบ  1. ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องสนใจในรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูล ไม่ว่าจะจัดเก็บแบบเรียงลำดับ , แบบดัชนี จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ DBMS  เป็นตัวจัดการ
          2. ผู้ใช้งานแต่ละคนสามารถเข้าถึงข้อมูลชุดเดียวกัน และแสดงข้อมูลเพียงบางส่วนเท่าที่จำเป็น  โดยไม่ต้องแสดงข้อมูลให้ดูทั้งหมด
          3. ความอิสระของข้อมูล คือ ไม่ต้องทำการแก้ไขโปรแกรมทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของข้อมูล

2. ความเป็นอิสระของข้อมูลมีบทบาทสำคัญอย่างไรต่อการจัดการฐานข้อมูล จงอธิบาย
   
ตอบ        ความเป็นอิสระของข้อมูลคือการที่ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลในระดับแนว ความคิด หรือระดับภายในได้โดยไม่กระทบกับโปรแกรมที่ เรียกใช้ ผู้ใช้ยังมองเห็นโครงสร้างข้อมูลในระดับ ภายนอกเหมือนเดิมและใช้งานได้ตามปกติ โดยมี DBMS เป็นตัวจัดการในการเชื่อมต่อข้อมูล ในระดับ ภายนอกกับระดับแนวความคิด และเชื่อมข้อมูลระดับแนวความคิดกับระดับภายใน นั่นหมายถึงการ เปลี่ยนแปลงข้อมูลในระดับที่ต่ำ กว่า จะไม่กระทบกับข้อมูลที่อยู่ในระดับที่สูงกว่า ซึ่งความเป็นอิสระ ของข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ
            1. ความเป็นอิสระของข้อมูลเชิงตรรกะ (Logical Data Independce) คือ การเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงสร้างของข้อมูลในระดับแนวความคิด จะไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างข้อมูลในระดับภายนอกที่ผู้ใช้งานใช้อยู่ เช่น ในการเขียนโปรแกรมเพื่อแสดงข้อมูลของพนักงาน ซึ่งใช้ข้อมูลใน ระดับภายนอก หากในระดับแนวความคิด มีการเปลี่ยนแปลง โดยการ เพิ่มแอตทริบิวส์บางตัวเข้าไปใน รายละเอียดข้อมูลของพนักงาน จะไม่มี ผลกระทบกับโปรแกรมเดิมที่ทำงานอยู่
             2. ความเป็นอิสระของข้อมูลเชิงกายภาพ (Physical Data Independce) คือการเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงสร้างของข้อมูลในระดับภายใน จะ ไม่มีผลกระทบต่อ โครงสร้างข้อมูลในระดับแนวความคิด หรือระดับภายนอก เช่น ในระดับภายในมีการเปลี่ยนวิธีการ จัดเก็บข้อมูลจากแบบ เรียงลำดับ (sequential) ไปเป็นแบบดัชนี (indexed) ในระดับภายใน ในระดับแนวคิดนั้นจะไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว หรือ โปรแกรมประยุกต์ที่เขียน ในระดับ ภายนอกก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไขโปรแกรมตามวิธีการจัดเก็บที่เปลี่ยนแปลงไป



3. ปัญหาที่สำคัญของ Hierarchical Model คืออะไร และเหตุใด Hierarchical Model จึงไม่สามารถลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ทั้งหมด
          
 
ตอบ      ปัญหาที่สำคัญของ Hierarchical Model คือ มีโอกาสเกิดความซ้ำซ้อนของข้อมูลมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับระบบฐานข้อมูล แบบโครงสร้าง และเหตุ Hierarchical Model ไม่สามารถลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ทั้งหมดเป็นเพราะหากข้อมูลมีจำนวนมาก การเข้าถึงข้อมูลจะใช้เวลานานในการค้นหา เนื่องจากจะต้องเข้าถึงจุดกำเนิดของข้อมูลและต้องค้นหาข้อมูลแบบมีเงื่อนไข เป็นลำดับและออกแบบเรียงลำดับต่อเนื่อง



4.เหตุใด Network Model ซึ่งสามารถแก้ปัญหาความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้จึงไม่เหมาะกับการนำมาใช้งาน
ตอบ      ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย  จะเป็นการรวมระเบียนต่าง  ๆ  และความสัมพันธ์ระหว่างระเบียนแต่จะต่างกับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์   คือ  ในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์จะแฝงความสัมพันธ์เอาไว้  โดยระเบียนที่มีความสัมพันธ์กัน   จะต้องมีค่าของข้อมูลในแอททริบิวต์ในแอททริบิวต์หนึ่งเหมือนกันแต่ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย  จะแสดงความสัมพันธ์อย่างชัดเจน  โดยแสดงไว้ในโครงสร้าง


5. สิ่งที่ทำให้ Relational Model ได้รับความนิยมอย่างมากคืออะไร จงอธิบาย      
 ตอบ   การพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้วย Relation Model สามารถพัฒนาระบบได้อย่างรวดเร็วกว่าสะดวกกว่าทำให้ได้ผลงานที่สูงกว่า Hierarchical Model และ Network Model
          -  ภาษาที่ใช้เหมาะสมและสามารถ retrieve ข้อมูลด้วยคำคำสั่งเดียว
          -  โครงสร้างข้อมูลเรียบง่ายต่อการ Update,Delete,Insert
          -  ป้องกันข้อมูลถูกทำลายหรือแก้ไขได้ดี เนื่องจากโครงสร้างแบบสัมพันธ์นี้ผู้ใช้จะไม่ทราบว่าการเก็บข้อมูลในฐาน ข้อมูลอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร จึงสามารถป้องกันข้อมูลถูกทำลายหรือถูกแก้ไขได้ดี
          -  การเลือกดูข้อมูลทำได้ง่าย มีความซับซ้อนของข้อมูลระหว่างแฟ้มต่าง ๆ น้อยมาก อาจมีการฝึกฝนเพียงเล็กน้อยก็สามารถใช้ทำงานได้

  

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คำถามท้ายบทที่ 1 เรื่อง Database Consepts

การบ้าน
วิชาฐานข้อมูลเบื้องต้น (4122201) ตอนเรียน A1
ประจำวันที่ 10 พฤศจิกายน 2553


1. สรุปแนวคิดในการจัดการข้อมูลจากอดีตถึงปัจจุบัน

- ในอดีตไม่มีเทคโนโลยีในการจัดการข้อมูลทำให้ต้องจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบ ของกระดาษทำให้ข้อมูลนั้นเกิดความเสียหายหรือสูญหายได้ง่ายเพราะกระดาษไม่มี ความคงทนถาวรและเมื่อเสียหายหรือสูญหายไปจะทำให้ข้อมูลนั้นไม่ครบถ้วนสมบูรณ อาจจะทำให้เกิดข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นได้ง่าย
- ในปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการเก็บข้อมูลมากขึ้นทำให้ข้อมูล นั้นสามารถเรียกหาได้ง่ายและมีความรวดเร็วในการหยิบใช้ข้อมูล
2. โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย
  • บิต (Bit) เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ สถานะคือ 0 และ 1
  • ไบต์ (Byte) เป็นการนำจำนวนบิตมารวมกันเป็นไบต์ ได้แก่ ตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์พิเศษ 1 ตัว เช่น 0, 1, a เป็นต้น โดยที่ 1 ไบต์มีค่าเท่ากับ 8 บิต
  • ฟิลด์ (Field) เป็นการนำไบต์หลาย ๆ ตัวมารวมกันเป็นฟิลด์เพื่อให้เกิดความหมาย เช่น Salary เป็นฟิลด์ที่เก็บเงินเดือนพนักงานเป็นต้น
  • เรคคอร์ด (Record) เป็นกลุ่มของฟิลด์ที่มีความสัมพันธ์กัน ในหนึ่งเรคคอร์ดจะประกอบด้วยฟิลด์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันรวมกันเป็นชุด เช่น เรคคอร์ดของประวัตินักศึกษา ประกอบด้วยฟิลด์รหัสนักศึกษา ชื่อ-สกุล วันเกิด ที่อยู่ จังหวัด เบอร์โทรศัพท์ ชื่อที่อยู่ผู้ปกครองเป็นต้น
  • ไฟล์ (File) หรือ แฟ้มข้อมูล (Data File) เป็นกลุ่มของเรคคอร์ดที่มีความสัมพันธ์กัน เช่น ในแฟ้มประวัตินักศึกษาจะประกอบด้วยเรคคอร์ดของนักศึกษาทั้งหมดที่อยู่ใน มหาวิทยาลัย
3.การเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูลมีข้อจำกัดอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ   การเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูลมีข้อจำกัด ดังนี้
  • ข้อมูล มีการจัดเก็บแยกจากกัน จะมีการเก็บข้อมูลแยกกันหลายแฟ้ม ซึ่งแต่ละแฟ้มจะมีคีย์หลักที่เชื่อมข้อมูลเอาไว้ ดังนั้นจึงทำให้ข้อมูลแยกจากกัน
  • เกิด ความซ้ำซ้อนของข้อมูล เนื่องจากการเก็บข้อมูลที่แยกจากกัน จึงทำให้ไม่สามารถควบคุมข้อมูลไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกันได้ และยังทำให้เปลืองพื้นที่ในการเก็บข้อมูลอีกด้วย
  •  ข้อมูล มีความขึ้นต่อกัน ปัญหาดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล จะส่งผลให้ข้อมูลในหน่วยงานอื่น ๆ ที่จัดเก็บไม่ตรงกัน 
  • ความ ไม่สอดคล้องกันของข้อมูล คือ ข้อมูลเดียวกันจะถูกจัดเก็บไว้ในหลาย ๆ แห่ง มีค่าไม่ตรงกัน ซึ่งอาจเกิดจากการผิดพลาดของการป้อนข้อมูล มีรูปแบบไม่ตรงกันรายงาน ต่าง ๆ ถูกกำหนดไว้อย่างจำกัด เนื่องจากระบบแฟ้มข้อมูลของแต่ละหน่วยงาน ถูกเขียนขึ้นด้วยหลาย ๆ โปรแกรม ส่วนที่โปรแกรมเมอร์มาพัฒนาโปรแกรม จะมีส่วนกำหนดรายงานที่หน่วยงานจะใช้ เมื่อต้องการรายงานอื่น ๆ ในอนาคตก็จะต้องทำการจ้างโปรแกรมเมอร์อีกครั้ง
4. ฐานข้อมูลคืออะไร และ ยกตัวอย่างฐานข้อมูลที่นักศึกษารู้จักมา 2 ระบบ
   หมายถึง กลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน นำมาเก็บรวบรวมเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีระบบและข้อมูลที่ประกอบกันเป็นฐาน ข้อมูลนั้น ต้องตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานขององค์กรด้วยเช่นกัน เช่น ในสำนักงานก็รวบรวมข้อมูล ตั้งแต่หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ที่มาติดต่อจนถึงการเก็บเอกสารทุกอย่างของ สำนักงาน ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะมีส่วนที่สัมพันธ์กันและเป็นที่ต้องการนำออกมาใช้ ประโยชน์ต่อไปภายหลัง ข้อมูลนั้นอาจจะเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของสถานที่ หรือเหตุการณ์ใด ๆ ก็ได้ที่เราสนใจศึกษา  หรืออาจได้มาจากการสังเกต การนับหรือการวัดก็เป็นได้ รวมทั้งข้อมูลที่เป็นตัวเลข  ข้อความ  และรูปภาพต่าง ๆ ก็สามารถนำมาจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลได้ และที่สำคัญข้อมูลทุกอย่างต้องมีความสัมพันธ์กัน เพราะเราต้องการนำมาใช้ประโยชน์ต่อไปในอนาคตเช่น

  • ระบบฐานข้อมูลพนักงานในบริษัท 
  • ระบบฐานข้อมูลลูกค้าของบริษัท
5.ฐานข้อมูลช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเก็บข้อมูลในแฟ้มข้อมูลอย่างไร
ตอบ  ฐาน ข้อมูลจะช่วยแก้ปัญหาของการเก็บข้อมูลในแฟ้มข้อมูล โดยที่จะทำให้หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูลได้ สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล สามารถรักษาความถูกต้องและความเชื่อถือได้ของข้อมูล สามารถกำหนดความเป็นมามาตรฐานเดียวกัน สามารถกำหนดระบบรักษาความปลอดภัยได้  และมีความเป็นอิสระของข้อมูลและโปรแกรมอีกด้วย
6.ระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) คืออะไร มีส่วนสำคัญต่อฐานข้อมูลอย่างไร
ตอบ  ระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) คือ โปรแกรมที่ทำหน้าที่จัดการข้อมูลในฐานข้อมูล ทั้งการสร้าง การเรียกใช้งาน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง และยังควบคุมระบบรักษาความปลอดภัยของฐานข้อมูลอีกด้วย และยังมีความสำคัญต่อฐานข้อมูล เช่น ช่วยกำหนดและเก็บโครงสร้างฐานข้อมูล ช่วยบรรจุข้อมูลลงฐานข้อมูล ประสานงานกับระบบปฏิบัติการ ช่วยควบคุมความปลอดภัย การจัดทำข้อมูลสำรองและการกู้ แล้วยังทำหน้าที่จัดทำพจนานุกรมข้อมูล เป็นต้น
7. ยกตัวอย่าง ฐานข้อมูลกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
การยืม-คืนหนังสือโดยใช้บัตรนักศึกษาเพราะจะมีการบันทึกข้อมูลในฐานข้อมูลใน การยืมและการคืนและสบายรวดเร็วในการค้นหาชื่อผู้ยืมที่ยังไม่ได้ส่งคืน หนังสือ